วันเสาร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2558

การปลูกผักหวาน..ให้รวย.!!


แหล่งปลูกผักหวานป่าที่มีชื่อเสียงของเกษตรกรบ้านเรา ก็คือ อ.บ้านหมอ จ.สระบุรี ที่ นี่มีการปลูกผักหวานป่ากันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เรียกว่าปลูกกันหมู่บ้านเลยก็ว่าได้ แต่ละปีผักหวานป่าทำรายได้สู่ที่นี่นับร้อยล้านบาท วันนี้เราไม่ได้ไปดูผักหวานป่าที่บ้านหมอ แต่เราจะไปดูผักหวานป่า ที่ อ.พระพุทธบาท ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านหมอ เป็นสวนผักหวานเพียงแห่งเดียวของอำเภอ..

จ่าติ๊กทำสวนผักหวานมานานกว่า 23 ปีแล้ว โดยเริ่มสนใจและปลูกผักหวานเมื่อ ปี 2534 หลังจากที่ไปดูงานที่ บ้านหมอ จนกระทั่งปี 2547 จ่าติ๊กก็หันมาขยายพันธุ์ผักหวานด้วยกิ่งตอนซึ่งมีข้อดีกว่าการปลูกด้วย เมล็ดตรงที่ การเจริญเติบโตและการให้ผลผลิตเร็วกว่า ความสำเร็จมีมากกว่า โดยผักหวานที่ปลูกจากกิ่งตอนใช้เวลาประมาณ 2 ปี ก็ให้ผลผลิตแล้ว ส่วนผักหวานที่ปลูกจากเมล็ดต้องใช้เวลานานถึง 3 ปีเลยทีเดียว แต่การปลูกด้วยกิ่งตอนจะลงทุนสูงกว่าเนื่องจากกิ่งตอนราคาสูงกว่า โดยราคาอยู่ที่ 100 บาท ความสูง 50-80 ซม. ส่วนราคาต้นกล้าที่เพาะด้วยเมล็ด ราคาถุงละ 25 บาท 2 ต้น หรือเกษตรกรจะซื้อเมล็ดไปเพาะเองก็ได้ ราคาเมล็ด กก.ละ 300 บาท มี 120-130 เมล็ด


จ่าติ๊กแนะนำว่า การปลูกผักหวานกิ่งตอนจะปลูกทันทีหลังจากตัดตุ้มลงจากต้น จะทำให้การเจริญเติบโตเร็วกว่าการนำกิ่งตอนไปปักชำในถุงก่อนปลูก การตอนกิ่งผักหวานจะใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าผักหวานจะออกรากและนำไปปลูกได้ โดยผักหวานที่ตอนในช่วงฝนจะออกรากเร็ว 2-3 เดือนก็ออกแล้ว แต่ถ้าเป็นช่วงแล้งหรือช่วงหนาวจะออกรากช้า คือ 4-5 เดือน ข้อควรระวังในการตอนให้สำเร็จก็คือ ระวังอย่าให้ตุ้มกิ่งตอนแห้ง ต้องหมั่นรดน้ำตุ้มอยู่เสมอ ถ้าตุ้มกิ่งตอนแห้งก็จะไม่ออกราก

สำหรับปลูกและการดูแลผักหวานนั้นจ่าติ๊กบอกว่า การปลูกผักหวานจะรองก้นหลุมด้วยขี้วัว ผักหวานเป็นพืชที่รากไม่ลึก จึงไม่ต้องขุดหลุมปลูกให้ลึก ระยะปลูกที่แนะนำ 1.5 x 2 เมตร จะได้จำนวน 500 ต้นต่อไร่ และระยะ 2x2 เมตร จะได้ 400 ต้นต่อไร่ หลังปลูกต้องมีการให้น้ำเหมือนพืชทั่วไป เมื่อได้รับน้ำสม่ำเสมอผักหวานจะเจริญเติบโตเร็ว แตกยอดได้ดีในช่วงที่ต้องการให้ผักหวานออกยอด จ่าติ๊กจะให้ขี้วัวปีละ 2 ครั้ง และใส่ปุ๋ยเคมี 16-20-0 ปีละ 2 ครั้ง ที่ให้ปุ๋ยโปแตสเซียมน้อยก็เพราะจากการตรวจสภาพดินในพื้นที่พบว่าดินในเขต นี้มีโปแตสเซียมอยู่เยอะอยู่แล้ว

 

ผักหวานเป็นพืชป่า จึงชอบสภาพที่คล้ายกับในป่าธรรมชาติ นั่นคือ ต้องมีร่ม การปลูกกลางแจ้งผักหวานจะเจริญเติบโตไม่ดีเท่าที่ควร โดยพืชร่มเงาหรือพืชพี่เลี้ยงในแปลงผักหวานที่นิยมก็จะเป็นสะเดา ซึ่งเป็นไม้ที่มีลำต้นแข็งแรง ไม่หักล้มง่าย ลมพัดไม่โยก เติบโตเร็ว อายุยืน ใบและเมล็ดนำมาหมักหรือสกัดทำยาฆ่าแมลงได้ อีกชนิดที่นิยมคือมะขามเทศ เป็นไม้โตเร็วเช่นกัน แต่กิ่งก้านจะเปราะกว่าสะเดา ในพื้นที่ลมแรงกิ่งอาจหักลงมาทับทำความเสียหายให้กับต้นผักหวานได้ นอกจากนี้มะขามเทศยังอายุไม่ยืน 6-7 ปีก็จะตายแล้ว อันนี้เป็นข้อมูลให้พิจารณาในการเลือกพืชพี่เลี้ยงให้กับผักหวาน
สำหรับการให้ผลผลิตของผักหวานนั้นจ่าติ๊กบอกว่า ถ้า เป็นผักหวานกิ่งตอนจะให้ผลผลิตเร็ว โดยจะเก็บยอดได้ภายใน 2 ปีหลังปลูก แต่ถ้าเป็นผักหวานเพาะเมล็ดจะให้ผลผลิตเกือบ 3 ปีเลยทีเดียวยอดจึงจะแตกเยอะ การให้ผลผลิตของผักหวานขึ้นกับการดูแลและอายุของต้น โดยปกติแล้วผักหวานอายุ 3 ปี จะให้ผลผลิต 1 ขีด/ต้น/ครั้งที่เก็บยอด อายุ 6-7 ปี จะให้ผลผลิตต่อต้นต่อครั้งที่เก็บ
เทคนิคการทำให้ผักหวานแตกยอดดีใน ช่วงฝนซึ่งผักหวานเป็นพืชที่แปลก ช่วงหน้าร้อน หน้าหนาวผักหวานจะแตกยอดดี โดยผักหวานจะแตกยอดเยอะในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย. แต่พอได้รับน้ำมากๆในช่วงฝนผักหวานกลับไม่ค่อยแตกยอด ดังนั้นหากต้องการเก็บผักหวานขายช่วงแพงก็ต้องทำให้เก็บยอดได้ช่วงฝน ถ้าต้องการให้มียอดเก็บทั้งปีก็แบ่งเป็นแปลงย่อยๆก็ได้ โดยการหักกิ่งหรือตัดกิ่งลงมาจากยอดประมาณ 30-35 ซม. โดยหักกิ่งประมาณ 30-40 % ของต้น จากนั้นก็รูดใบออก รดน้ำใส่ปุ๋ยบำรุงต้นให้สมบูรณ์ ประมาณ 3 สัปดาห์หลังรูดใบ ผักหวานก็เก็บยอดได้ในช่วงฝนที่มีราคาแพง


สำหรับราคาผักหวานที่จำหน่ายกัน ถ้าเป็นช่วงหนาว ราคา 80 บาท/กก. ถ้าเป็นช่วงฝนราคาจะขึ้นมาเป็น 120 บาท/กก. (หน้าสวน) และราคาผักหวานป่าก็ยืนราคานี้มายาวนานหลายปี บ่งบอกว่าตลาดผักหวานยังน่าสนใจ อีกทั้งปริมาณความต้องการของตลาดก็เพิ่มขึ้น ตลาดเติบโตมากขึ้นทั้งในเมืองและในท้องถิ่น
ติดต่อ จ่าติ๊ก ได้ที่โทร. 086-1246596




cr. Rakkaset Nungruethail  รักษ์เกษตร





Email:taajook@gmail.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น